วันนี้ไม่ได้จะมาชวนเพื่อนๆดื่ม เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า แต่เรนโบว์อยากให้ผู้อ่านได้ระมัดระวังและมีความรับผิดชอบในการดื่มต่างหาก เรนโบว์อยากให้เพื่อนๆดื่มแต่พอดีไม่เมามาย และดื่มแล้วไม่ขับโดยเด็ดขาด!! เพียงแต่ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้อ่านได้สนุกสนานไปกับเรื่องราวของเครื่องดื่มที่ต่างวัฒนธรรมอย่าง {วอดก้า} กันบ้างเท่านั้นเอง ซึ่งขอบอกตามตรงว่าเรนโบว์ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังมาก่อน จน >Belvedere Vodka< แบรนด์วอดก้าสัญชาติโปลิช ได้เชิญแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ Marek Vojcarcik ผู้ดูแลเครื่องดื่มให้กับร้านอาหารและบาร์ชั้นนำหลายแห่ง นั้นมาแชร์เรื่องราวของวอดก้าแบบลึกๆท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ ที่ Highball Asoke. 

และในบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ชื่อดังของโลก เครื่องดื่มใสๆ ที่ไร้กลิ่นไร้สีอย่างวอดก้า มีความเป็นมาและน่าสนใจไม่เบาเลยทีเดียว แม้จะเทียบกับเบียร์และไวน์แล้วอาจจะเก่าแก่ไม่เท่า แต่ถ้าหากพูดถึงความแพร่หลาย ก็ถึงกับมีการแบ่งกลุ่มประเทศในยุโรป “แบบไม่เป็นทางการ” ออกเป็น สายเบียร์, สายไวน์ และ สายวอดก้า เลยทีเดียว และกลุ่มวอดก้า หรือประเทศที่มีวอดก้าเป็นเครื่องดื่มดั้งเดิม ได้แก่ “รัสเซีย” “เบลลารุส” “ยูเครน” “โปแลนด์” กลุ่มประเทศบอลติค (“เอสโทเนีย” “ลัตเวีย” “ลิทัวเนีย”) และกลุ่มประเทศนอร์ดิค (“สวีเดน” “ฟินแลนด์” “นอร์เวย์” และ”ไอซ์แลนด์”)

เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า

กรรมวิธีการผลิตวอดก้า

วอดก้านั้นจะประกอบด้วยน้ำบริสุทธิ์กับเอธานอลเพียงสองอย่าง เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตยาและโรงกลั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล และผลลัพธ์ที่ได้ตอนนั้นก็ต่างจากวอดก้าที่เรารู้จักไปคนละเรื่อง ทั้งสีก็จะเข้มๆ หน่อย แอลกอฮอลล์จะน้อยๆ หน่อย คุณมาเร็กเล่าว่าวอดก้านั้นจะผลิตจากวัตถุดิบอะไรก็ได้ที่เป็น “แป้ง” และ “น้ำตาล” ไม่ว่าจะ “มันฝรั่ง” “ข้าวสาลี” ไปจนถึง “หัวหอม” “บีทรูท” “นม” “เบคอน” ฯลฯ แต่ก็เชื่อกันว่าทำจาก”ข้าวสาลี”และ”ข้าวไรย์”จะดีที่สุด

วิธีการผลิตวอดก้า เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า

จากนั้นเริ่มด้วยการนำวัตถุดิบมาหมักแล้วกลั่นด้วยเครื่องกลั่นเพื่อให้ได้แอลกอฮอลล์ที่เข้มข้น วอดก้าโดยทั่วไปจะผ่านการกลั่นทั้งหมด 4 ครั้ง (ยิ่งกลั่นมากครั้งยิ่งมีปริมาณแอลกอฮอลล์สูง สูงสุดก็คือ 96.5%) และนำมากรองผ่านตัวกรอง ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีผลในการดึงรสหรือจะเพิ่มรสเข้าไปก็ได้ นั่นจึงมีผลกับกลิ่นและรสของวอดก้าเป็นอย่างมาก กรองยอดนิยมเราก็รู้จักกันดี นั่นคือถ่านที่ทั้งดีและหาง่ายนั่นเอง และจากนั้นจึงนำผลที่ได้มาผสมกับน้ำบริสุทธิ์แล้วบรรจุลงขวดแก้วเพื่อไม่ให้แร่ธาตุอื่นๆมาเจือปน กลิ่นและรส รวมทั้งความหนัก เบาที่ต่างกันนี้ ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละแบรนด์ด้วย และหากลองชิมเปรียบเทียบกันก็จะสังเกตได้นั่นเอง 

จุดเริ่มต้นของวอดก้ามาจากไหน? เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า

จุดเริ่มต้นของวอดก้ามาจาก คำว่า Vodka ที่ปรากฏในพจนานุกรมของรัสเซียในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และได้มีปรากฏในวรรณคดีอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่โปแลนด์มีหลักฐานการผลิตวอดก้าเก่าแก่กว่านั้น ก็คือตั้งแต่ในยุคกลาง (ศตวรรษที่ 5 – 15) ได้เริ่มมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งการผลิตวอดก้าได้ถูกผูกขาดโดยขุนนางและเริ่มมีการส่งออกไปทั่วยุโรป

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเข้ามาของรัฐบาลMarxist – Leninist  ทำให้มีการแบ่งปันส่วนการขายวอดก้า ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตย้ายถิ่นฐานไปยังฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ในยุค “Prohibition Era” (1920 – 1933) ได้มาเยือนสหรัฐฯ และวอดก้ากลับได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยความที่มีสีใส (ซุกซ่อนง่าย) และมีปริมาณแอลกอฮอลล์ที่สูง ประกอบกับผู้คนที่ต้องอดดื่มเหล้า เริ่มเปิดใจรับรสชาติใหม่ๆ จึงได้มีการทำตลาดวอดก้าในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกโดย สเมิร์นอฟ ในปี 1954 และ Absolute ที่คอยจับตลาดคนในปี 1979 

กลับมาที่ Poland การปฏิวัติในปีค.ศ. 1989 ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นล่มสลาย เป็นจุดกำเนิดของวอดก้าในแบรนด์ใหม่ๆ และจุดจบของสหภาพโซเวียตที่ตามมาทำให้การเดินทางไปยัง Poland Ukraine และ Russia อิสระยิ่งขึ้น ชายหนึ่งเดินทางไปยังเมือง (Zyradov) ในโปแลนด์แล้วติดใจเครื่องดื่มท้องถิ่นเข้า จนนำกลับมาที่นิวยอร์ก จึงเป็นจุดกำเนิดของเบลเวเดียร์วอดก้า ที่ครองตลาด “Super Premium Vodka” เป็นแบรนด์แรก 

ซูเปอร์ พรีเมี่ยมยังไง? 

อย่างที่บอกว่าวอดก้าของเบลเวเดียร์นั้นทำจากวัตถุดิบ 2 อย่างเท่านั้น อย่างแรกก็คือข้าวไรย์ Dankowskie Rye จากเมืองจูราดอฟ เมืองเล็กๆ ที่ห่างจากกรุงวอร์ซอว์เพียง 45 กิโลเมตร ที่ตั้งของที่ราบ Mazovian Plains คือแหล่งผลิตแห่งเดียวของโลกที่มีข้าวไรย์สายพันธุ์นี้

และอย่างที่ 2 ก็คือน้ำ ซึ่งจะมีสัดส่วนถึง 60% ของวอดก้าใน 1 ขวด เบลเวเดียร์นั้นมีแหล่งน้ำใต้ดินบริสุทธิ์เป็นของตัวเอง เพราะจะต้องควบคุมให้ไร้สารสิ่งเจือปน เหตุเพราะวัตถุดิบทุกอย่างนั้นผลิตในประเทศ จึงเรียกได้ว่าเบลเวเดียร์เป็นโปลิช วอดก้าแบบ 100% ตามสรรพคุณข้างขวดว่า “PolskaWódka”

วอดก้าที่มีรสชาติล่ะ เขาใส่อะไรลงไป? 

คุณมาเร็กบอกถึงวิธีที่จะเพิ่มรสชาติต่างๆ ให้วอดก้ามากมาย ผู้ผลิตสามารถใส่น้ำตาล เครื่องเทศ ผลไม้ หรือดอกไม้ลงไปได้ แต่ทุกอย่างเป็นกระบวนการที่ทำขึ้นหลังจากการกลั่นแล้ว เหล้านอก และอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่แนะนำให้ดื่มวอดก้าแบบแช่แข็ง เพราะว่าอุณหภูมิเยือกแข็งของแอลกอฮอลล์นั้นจะต่างกับอุณหภูมิร่างกายของคนเรามากๆ อาจจะทำให้กระเพาะเป็นแผลหรือเกิดอาการขาดน้ำและอ่อนเพลียได้นั่นเอง ในทางที่ดีควรดื่มในอุณหภูมิปกติดีที่สุด หรือถ้าหากอากาศอบอุ่นอย่างบ้านเรา แช่เย็นสัก 16 ถึง 18 องศาหรือเลือกดื่มแบบ On The Rock ที่คุณมาเร็กคิดว่าเป็นวิธีดื่มที่ดีที่สุดและก็เก๋ดี

เมนูแนะนำจาก เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า

เครื่องดื่มใสๆ ที่ชื่อว่า วอดก้า

ก่อนจากกันวันนี้ ฝากเพื่อนๆติดตาม รู้ลึก รู้จริง กับวิสกี้ Whiskey และเรายังมีสูตรค็อกเทล Belvedere Spritz ที่ทำให้การดื่มว็อดก้าดูสวยๆ เบาๆ ได้ สูตรนี้เหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ต้องการเครื่องดื่มเฉลิมฉลองแบบสดชื่น ดื่มชิลๆ ยาวๆ แถมยัง Low Sugar ตามเทรนด์อีกด้วย!

Spritzer!

วิธีทำ

  1. รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง 🍸 พร้อมด้วยน้ำแข็ง และตามด้วยสปาร์คลิง วอเตอร์ : โทนิค :จิงเจอร์ เอล
  2. จากนั้นตกแต่งด้วยเกรปฟรุต และใบไทม์ เพื่อให้ได้กลิ่นและรสเวลาดื่ม
     

Adam & Eve

วิธีทำ

  1. ให้รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง 🍸 พร้อมน้ำแข็ง ตามด้วยน้ำแอปเปิล
  2. เติมสปาร์คลิง วอเตอร์ : โทนิค ลงไปแล้วตกแต่งด้วยแอปเปิ้ลและเลมอน
     

Shades of Berries

วิธีทำ

  1. รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง 🍸 พร้อมน้ำแข็ง แล้วตามด้วยจิงเจอร์เอล
  2. จากนั้นตกแต่งด้วยเบอร์รีและใบไทม์

#สุราไทย #สุราเสรี #เว็บพนันออนไลน์ #บาคาร่า #Funny888 #บาคาร่าเว็บตรง #หวยออนไลน์ #หวยเด็ด #สูตรเด็ด #สุรานอก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *